เศรษฐกิจเช่าใช้
ครอบครัวขยาย (extended families) กำลังเสื่อมความนิยม
สิ่งที่เป็นจุดแข็งของครอบครัวขยายคือการปันทรัพย์สินร่วมกัน ถ้าบ้านคุณเป็นกงสีขนาด 30 คน คุณคงมีสระว่ายน้ำในบ้าน มีรถ SUV กระบะ โฟร์วีล ให้เลือกใช้ตามโอกาส มีคนขับรถ คนจ่ายตลาด แม่บ้าน แม่ครัว หมาแมวของครอบครัว โดยที่รายได้ต่อหัวของคุณอาจจะไม่ได้อู้ฟู่อะไร
แต่เทรนด์นี้ได้พีคในรุ่นพ่อ และอยู่ในขาลงมาพักหนึ่งแล้ว การขยายตัวของสังคมเมืองทำให้ขนาดครอบครัวหดเล็กลง การที่ครอบครัวเดี่ยวจะมีสระว่ายน้ำเป็นของตัวเองก็ยากขึ้น จึงต้องประดิษฐ์ construct ใหม่ เช่นนิติบุคคลอาคารชุด เป็นการแบ่งปันระหว่างเพื่อนบ้านแทน
เรื่องที่อยากจะเขียนถึงคือ ในขากลับกัน มีอีกเทรนด์ที่ผมบังเอิญอยู่แนวหน้าพอดี และผมมองว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในทศวรรษที่จะมาถึงนี้ คือการเช่า: แทนที่จะซื้อคอนโด เราเลือกที่จะอยู่อพาร์ตเมนต์ แทนที่จะซื้อรถ เราเลือกที่จะใช้ Uber หรือ ZipCar (บริการรถเช่าที่ปลดล็อคผ่านแอป)
การเช่าคืออิสรภาพ คือการได้เดินไปทำงาน หรือได้อยู่ใน neighborhood ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในตอนนั้น และมีความยืดหยุ่นในการย้ายบ้านเมื่อไหร่ก็ได้, การเช่าคือการขับรถเฉพาะวันที่อยากขับ และนั่งรถไฟฟ้าในวันที่รถติด, การเช่าคือการได้ mix and match ทุกอย่าง ใช้เมมเบอร์ฟิตเนสที่นี่ ใช้แอปจ่ายตลาดของห้างนั่น ใช้แอปเรียกแม่บ้านเจ้านู่น
แน่นอนว่าการเช่า อาจจะดูแพงหรือเอาเงินทิ้งน้ำเมื่อเทียบกับการผ่อน แต่พรีเมี่ยมที่เราจ่ายนั้น นอกจากจะซื้อความยืดหยุ่นที่พูดมาแล้วยังเป็นการประกันเหตุร้ายทุกชนิด รถชน รถพัง บ้านทรุด น้ำรั่ว เป็นปัญหาที่คนอื่นจะมาแก้ให้เรา เพื่อนบ้านหนวกหู อย่างแย่สุดก็แค่ย้ายออก คนขับรถไม่ดี กดให้คะแนน 2 ดาว
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันปิดความเสี่ยงในการขาดทุน (downside risks) เราไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่านโยบายรถคันแรกกระทบกับราคาขายต่อรถเราไหม ราคาอสังหาอยู่จุดไหนของ cycle ถ้าได้งานต่างประเทศต้องปล่อยเช่าห้องไหม ถ้าต้องใช้เงินกะทันหันจะ liquidate asset ทันหรือเปล่า แน่นอน มันหมายความว่าเราก็จะไม่ได้เก็งกำไรจาก upside เหมือนกัน แต่เราก็ไม่ควรเก็งกำไรในตลาดที่เราไม่มี edge ไม่ใช่หรือครับ
ยิ่งมีน้อย ยิ่งเครียดน้อย /ภาพตัดไปปลูกบ้านดินอยู่
สมบัติที่ผมมีติดตัวตอนนี้ก็แค่ของที่ยังไม่มีตลาดสำหรับ rental model เท่านั้นเอง ถ้ามันมีเมื่อไหร่ ผมก็ยินดีจะขายแล้วเช่าใช้แทน เช่น คอมพิวเตอร์ สเตอริโอ โทรศัพท์ มอเตอร์ไซค์ หรือกระทั่งเสื้อผ้า ถ้าวันนึงมี Uber สำหรับสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่ต้องซ่อม อัพเกรด หรือใช้เวลาตัดสินใจซื้อนานๆ อีก (โดยเฉพาะเมื่อมองประกอบกับอีกเทรนด์ที่คู่ขนานกันมา คือสมบัติดิจิทัลของเราย้ายไปอยู่บน cloud หมดแล้ว)
เมื่อวันนั้นมาถึง สมบัติทุกอย่างที่เราเป็นเจ้าของ ก็จะสามารถแพ็คใส่เป้เดินทาง 1 ใบ carry ขึ้นเครื่องบิน แล้วเราจะไปตั้งรกรากใหม่ เริ่มเช่าทุกอย่างใหม่ ในเมืองใดก็ได้
นี่จะเป็นสุดยอดการประกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจตกต่ำ, ความล้มเหลวทางการเมือง, หรือกระทั่งภัยพิบัติทางธรรมชาติจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง แรงงานจะสามารถย้ายออกจากประเทศที่ภาวะว่างงานสูง ไปยังประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต โดยไม่ต้องพะวงหน้าหลัง
มองในสเกลใหญ่ มันคือการทำให้ตลาดแรงงานระหว่างรัฐ เสรีขึ้นกว่าเดิม และธรรมชาติของตลาดก็จะบีบให้รัฐชาติต่างๆ ต้องแข่งขันกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเปิดพรมแดนต้อนรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ในฐานะพลเมืองโลก ผมว่ามันเป็นผลลัพท์ที่น่าพึงประสงค์อยู่มาก
ส่วนสิ่งที่ผมฝันจะทำเป็นการส่วนตัว คือการย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล เพราะผมมีความเคารพต่อภูมิอากาศ ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนเราก็เปลี่ยนให้ประเทศไทยไม่ร้อนไม่ได้ แต่เราอพยพเหมือนนกนางแอ่นได้ เมษาอยู่โตเกียว กรกฎาอยู่ปารีส ตุลาอยู่นิวยอร์ค มกราอยู่เมลเบิร์น
เราคือนก 4.0