คินาบาลู ปีนคนเดียวแบบเพื่อนไม่คบ
คินาบาลูจัดว่าเป็นเขาที่เป็นมิตรต่อมือใหม่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะพอประมาณ ที่พักสะอาด น้ำไหลไฟสว่าง อาหารกินอิ่มทุกมื้อ แต่ถึงกระนั้นวิวก็ไม่เป็นที่สองรองใครเลย
คนไทยที่สนใจจะไปปีนก็มีตั๋วเครื่องบินโลว์คอสต์ไปถึง โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่ Kuala Lumpur แล้วเดินทางต่อไปยังเมือง Kota Kinabalu
โคตา คินาบาลู (KK) เป็นเมืองที่กำลังโต ค่าครองชีพพอกับต่างจังหวัดของไทย และมีร่องรอยการก่อสร้างอยู่ทั่วทุกแห่ง ดาวน์ทาวน์ของ KK เล็กแค่ถนนเมน 3 สายขนานกัน อยู่ติดกับชายฝั่งด้านทะเลจีนใต้ของเกาะบอร์เนียว
การจะไปยังเขาคินาบาลู ภูเขาที่สูงที่สุด อันดับ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องนั่งรถตู้ออกจาก KK ไปอีก 2 ชม.
อากาศเย็นลงทันทีที่ขับขึ้นเขา พี่คนขับพาเราเลาะไปตามถนนสองเลนด้วยความเร็วที่ไม่น่าจะปลอดภัย
ผมขอลงตรงนี้แหละ ทางเข้าเกม Silent Hill
โฮสเทลที่ฝากผีไว้ชื่อ Jungle Jack ลุงแจ็คเป็นโฮสต์ที่ entertain ที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ ไฟแรง อัธยาศัยดี และเหนือสิ่งอื่นใดผมประทับใจข้าวที่แกพาไปกิน ทำไมอาหารจีนบ้านๆ ถึงอร่อยแบบนี้
“เดี๋ยวพวกคุณช่วยยืนรวมกันถ่ายรูปนึง กู้ภัยจะได้เห็นว่าคุณหน้าตายังไง” ลุงแจ็คปล่อยมุกประจำของแกในขณะที่เขาคินาบาลูตระหง่านเยาะเย้ยเราอยู่ในฉากหลัง
และแล้วเราก็ขึ้นบันได
ภูมิประเทศโดยรอบเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เราไต่ระดับจากความสูง 1,800 เมตรขึ้นมา พันธุ์ไม้หน้าตาแปลกไป และหมอกก็ปกคลุมหนาขึ้น
แก๊งอเวนเจอร์สของเราประกอบไปด้วย หนุ่มสวีเดน 5 คน สาวเยอรมัน 2 สาวออสเตรีย 1 ผมเป็นคนเอเชียคนเดียว
บ่ายสองโมงตรง เรามาถึงกระท่อมบนเขาที่ความสูง 3,200 เมตร ที่พักจัดว่าสภาพใช้ได้ มีน้ำอุ่น ตอนนั้นใครไหวก็อาบ ไม่ไหวก็สลบ
ผมวาร์ปไปตื่นอีกทีตอน 5 โมงด้วยความหิว ข้อเท้าสองข้างร้าวเหมือนใครเอาค้อนมาทุบ
พอเปิดประตูออกไปข้างนอก ไม่รู้ทำไมหายเหนื่อยเลย
อาหารเย็นวันนี้คือสตูว์เนื้อ และบาร์บีคิวแกะ จากบุฟเฟต์นานาชาติ วิวก็งั้นๆ แหละเหมือนอยู่คอนโด
งานทำตัวกลมกลืนกับพี่ๆ น้องๆ ในคณะ ให้ทุกคนคิดว่าเราอายุเท่ากัน (เพิ่งจบ high school)
เวลาตี 2 ครึ่ง กับเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขา บันไดแคบลงและชันขึ้น นักปีนเขาเบียดเสียดเหมือนกับงานวิ่งมาราธอนช่วงปล่อยตัว
คืนเดือนหงายนั้นสว่างจนเกือบไม่ต้องพึ่งไฟฉาย แต่ก็ยังมองสูงขึ้นไปได้ไม่เกินทีละ 100 เมตร บันไดทอดยาวขึ้นไปจนเหมือนไม่สิ้นสุด วนไต่ระดับในหลายจุดที่ชันเกินจะตัดขึ้นไปตรงๆ ออกซิเจนที่เบาบางทำให้เราหยุดพักบ่อยกว่าปกติ แต่อุณหภูมิที่เป็นเลขตัวเดียวก็ทำให้อยู่เฉยไม่ได้นานนัก
ผมหันกลับไปมอง base camp ที่เราเพิ่งจากมา จากความสูงระดับนี้เห็นเป็นแค่ดวงไฟกลุ่มเล็กกระจิด การปีนเขาเป็นการผจญภัยที่ทำให้เราตระหนักถึงความเล็กของตัวเรา และทึ่งกับสเกลของธรรมชาติได้เสมอ
ต้นไม้สองข้างทางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กลายเป็นพื้นหินเปลือยไม่มีดินปกคลุม พร้อมกันนั้นบันไดก็สิ้นสุดลง
โค้งสุดท้ายอยู่ไกลออกไปแค่สุดสายตา
ตี 5 สามนาที เราอยู่ที่ความสูง 4,096 เมตรจากระดับน้ำทะเล ฟ้าเปิด
รูปนี้ถ่ายในระนาบของเส้นขอบฟ้า ก็จะเห็นความชันของทางขึ้นช่วงสุดท้าย
รวมระยะเดินเท้าได้ 9 ก.ม. และเช้าวันนี้เราจะเดินย้อนกลับทางเดิมทุก ก.ม.
โดยให้ถึงรถก่อนเที่ยง!!
ไกด์คนเก่งของเราชื่อมากาเร็ต แต่ผมแอบเรียกเธอว่ามาร์กาเร็ต แทตเชอร์ เพราะตอนที่ผมข้อเท้าพลิก เธอเสนอที่จะแบกผมลงเขาให้ “คิดแค่สามร้อยริงกิต (≈ 2,500 บาท)”
มากาเร็ตเดินไวอย่างกับแพะภูเขา ถ้าผมขอให้เธอถอดรองเท้าออกจะเห็นกีบแน่นอน ลูกหาบที่นี่แบกของขึ้น-ลงในวันเดียวโดยใส่รองเท้าแตะกันทั้งนั้น ตอนนี้นอกจากจะอ่อนแอกว่าสาวยุโรปสามคนแล้ว ผมยังโดนคุณป้าลูก 9 เร่งยิกๆ อีก
Jalan, jalan!! (แปลว่า go)
จุดนี้คือที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวในปี 2015 และหินถล่มลงมาทับเด็กสิงคโปร์เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีกหลายคน จนเส้นทางขึ้นเขาถูกปิดไปครึ่งปี
ในที่สุดก็กลับถึงที่พักในสภาพโทรมระดับ 8
คืนนั้น เราล้อมวงจิบเบียร์ร่วมกับนักเดินทางหน้าใหม่อีก 5 คน ที่จะขึ้นเขาในวันรุ่งขึ้น และเป็นธรรมเนียมของผู้ที่พิชิตยอดเขาได้แล้ว ที่ต้องมาไซโคผลัดต่อไปนะครับ ในจำนวนนั้นมีน้องผู้หญิง 2 คน ที่ไม่ได้ตั้งใจมาปีนเขา แต่ผมเอารูปในอัลบั้มนี้มาประกอบการขาย ล่าสุดเห็นว่าลงจากเขาไปตั้งกระทู้ในพันทิปแล้ว
สรุปค่าใช้จ่าย #
- ตั๋วเรือบิน 6,000 บาท
- รถตู้ประมาณ 400 บาท
- ค่าทัวร์ 9,500 บาท รวมค่า base camp, cabin, อาหารทุกมื้อ, ไกด์แชร์
การเตรียมการ #
- ร่างกายที่ฟิตพอประมาณ เคยวิ่ง 10K จบก็ใช้ได้
- เป้ backpack ดีๆ ประมาณ 20L พอใส่เสื้อผ้ากันหนาว เครื่องอาบน้ำ ไฟฉาย
- รองเท้าดีๆ ไม่ต้องกันน้ำเพราะหิมะไม่ตก
- ทัวร์ เช่น Jungle Jack Backpacker (ผู้เขียนไม่ได้ค่าแนะนำ)
- สิ่งที่ไม่ต้องเอาไป: เต็นท์ ถุงนอน อุปกรณ์ประกอบอาหาร
- ตรวจสอบสภาพอากาศ
ทำไมถึงชอบปีนเขา #
ผมคิดว่ามันมาจากสัญชาตญาณสามอย่าง อย่างแรกคือการไปเสพย์วิว ที่ไม่สามารถบันทึกลงเป็นภาพถ่ายได้ ถ้าคุณนั่งกระเช้าขึ้นก็คงสนองได้แค่ข้อนี้
อย่างที่สองคือการผจญภัย เหมือนกับการสำรวจดันเจี้ยนในเกม หรือไปในที่ใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยไป และรู้ว่าไม่สามารถไปทำได้บ่อยๆ
อย่างสุดท้ายคือการค้นพบขีดจำกัดของตัวเอง หลายคนที่ปีนเขา วิ่งมาราธอน หรือทำกิจกรรมทรมานตนชนิดอื่นๆ ก็เพื่อค้นพบว่าที่สุดของตัวเองอยู่ตรงไหน และบางทีถ้าทำบ่อยเข้า ก็อาจจะทำให้สุดได้กว่าเดิมอีกหน่อยนึง
22 กุมภาพันธ์ 2016