ว่าด้วยสติปัญญา

<น่าอัศจรรย์อยู่นะว่ามนุษย์มีสติปัญญาพอจะคิดค้นการเดินทางข้ามดวงดาวได้ยังไง>

<ไม่ขนาดนั้น ผมเคยใคร่ครวญดูบ้างแล้ว ไอ้เรื่องการเดินทางระหว่างดวงดาว พวกมนุษย์ก็เรียนรู้มาจากคุณ เอนเดอร์ก็บอกว่าไม่เคยมีใครจับหลักมันได้ จนกระทั่งฝูงยานอาณานิคมของคุณแล่นเข้าไปในระบบสุริยะของพวกเขา>

<เราน่าจะเก็บตัวอยู่เงียบๆ ในบ้าน เพราะกลัวว่าจะไปสอนทากสี่ขาให้บินได้เข้าโดยบังเอิญงั้นสิ?>

<เปล่า แต่ผมเห็นคุณพูดเหมือนกับว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มีสติปัญญาอย่างนั้นแหละ>

<ตรงเผง>

<ไม่เชิงไง ผมคิดว่าพวกเขามีวิธีรวบรวมสติปัญญามากกว่า>

<พวกมนุษย์มียานอวกาศ เรายังไม่เห็นพวกนายตนไหนบินแข่งกับความเร็วแสงนะ>

<ในแง่ของเผ่าพันธุ์แล้วเรายังเยาว์อยู่นัก แต่ดูสิ่งที่วิวัฒนาการมอบให้พวกเราหรือพวกคุณสิ ในสปีชี่ส์หนึ่งมีชีวิตสี่ประเภท เริ่มจากพวกหนอนตัวอ่อน แล้วก็ตัวผสมพันธุ์ ซึ่งไม่มีสติปัญญาใดๆ ของคุณคือพวกตัวผู้ ส่วนของเราเป็นพวกตัวแม่ แล้วก็มีพวกปัจเจกที่มีความเฉลียวฉลาดพอทำงานทั่วๆ ไปได้ อย่างเช่นพวกพี่น้องของเรา หรือพวกคนงานของคุณ สุดท้ายก็คือพวกที่มีเวลานั่งครุ่นคิดทั้งวัน ต้นบรรพบุรุษอย่างผม หรือราชินีอย่างคุณ ซึ่งเป็นศูนย์รวมภูมิปัญญาของทั้งเผ่าพันธุ์ การคิดวิเคราะห์คืองานหลักของเรา>

<ในขณะที่พวกมนุษย์ทั้งหมดเป็นเหมือนแค่พวกใช้แรงงาน สินะ?>

<ไม่ใช่แค่นั้น พวกตัวอ่อนมนุษย์ก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้พอกับเรา ซึ่งไม่รู้ว่าจะกินเวลาเท่าไหร่ในช่วงชีวิต ที่ร้ายสุดคือพอถึงเวลาขยายพันธุ์ ทุกตัวก็กลายเป็นเครื่องจักรที่มีหน้าที่เดียวในชีวิตเหมือนกันหมด คือผสมพันธุ์แล้วตายไป>

<พวกมนุษย์เห็นว่าทุกช่วงอายุมีเหตุมีผลของมัน>

<หลอกตัวเองสิไม่ว่า ต่อให้อยู่ในช่วงที่โตเต็มวัยที่สุด แต่ละคนก็ไม่เคยมีพัฒนาการเหนือกว่าชนชั้นแรงงานทั่วไปมากมายเลย จะมีซักกี่คนกันที่ว่างเว้นจากการใช้ชีวิต และมีเวลามานั่งทำตัวเฉลียวฉลาด>

<ไม่มีเลย>

<พวกเขาไม่เคยรู้อะไรจริงจังด้วยซ้ำ ในช่วงชีวิตแสนสั้น มีเวลาอยู่บนโลกไม่พอจะทำความเข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ แล้วก็ยังคิดไปเองว่าพวกเขาเข้าใจ! หลอกตัวเองตั้งแต่เด็กว่ารู้จักโลกดีแล้ว ทั้งหมดที่มีก็แค่ข้อสันนิษฐานกับสมมติฐานขั้นต้น พอโตไปพวกเขาก็เริ่มเรียนรู้ศัพท์ต่างๆ สำหรับอธิบายความรู้กำปั้นทุบดินเหล่านั้น และเที่ยวบังคับคนอื่นให้เชื่อว่ามันเป็นข้อเท็จจริง แต่มันก็เท่านั้นแหละ โดยปัจเจกบุคคลแล้ว มนุษย์น่ะซื่อบื้อสิ้นดี>

<ในขณะที่โดยหมู่คณะแล้ว…>

<โดยหมู่คณะ มันก็ยังเป็นหมู่คณะของคนโง่ แต่ทั้งร้อยของการวุ่นพยายามทำตัวฉลาด ประกาศทฤษฎีคลุมเครือบ้าบอที่ไม่มีใครเข้าใจออกมาเยอะแยะน่ะ จะมีซักคนสองคนที่บังเอิญคิดค้นอะไรที่เข้าใกล้แก่นแท้ของความจริงมากขึ้นอีกซักกระเบียดหนึ่ง แล้วในการลองผิดลองถูกมั่วๆ ทั้งหลายแหล่ ก็มีโอกาสซักครึ่งต่อครึ่งที่ทฤษฎีใหม่ๆ จะถูกพิสูจน์ และฝูงชนก็จะยอมรับมัน ทั้งที่ไม่เข้าใจมันอยู่ดี แล้วมันก็จะกลายเป็นสมมติฐานอันใหม่ที่ถูกหลับหูหลับตาสอนจนกระทั่งไอ้บ้าคนต่อไปก้าวขึ้นมาปรับปรุงทฤษฎีนั้นได้โดยบังเอิญ>

<ที่นายกำลังจะบอกคือ โดยปัจเจกแล้วไม่มีใครฉลาดเลย และโดยหมู่คณะแล้วมนุษย์ก็ยิ่งโง่กว่าเดิมด้วยซ้ำ และกระนั้นโดยการให้คนโง่จำนวนมากมาอยู่รวมกัน วุ่นกับการแสร้งทำเป็นฉลาด พวกเขาก็ยังได้ผลลัพท์เดียวกันกับที่สปีชี่ส์ที่มีความเฉลียวฉลาดจะคิดได้>

<ตรงเผง>

<ถ้าพวกเขาโง่นักแล้วเราฉลาดนัก ทำไมทั้งเผ่าพันธุ์ของเราถึงเหลือรอดอยู่แค่รังเดียว ซึ่งมีมนุษย์เป็นคนขนมาให้ แล้วทำไมพวกนายยังต้องพึ่งพามนุษย์ตลอดเวลาทุกครั้งที่สร้างความก้าวหน้าอะไรใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ละ?>

<บางทีความฉลาดอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้>

<บางทีเราอาจจะโง่เองที่คิดไปว่าเราเข้าใจอะไรต่อมิอะไร บางทีมนุษย์อาจจะเป็นพวกเดียวที่สามารถรับความจริงได้ว่าไม่มีใครรู้อะไรได้อย่างถ่องแท้เลย>

—จาก Speaker For The Dead โดย Orson Scott Card

 
1
Kudos
 
1
Kudos

Now read this

Retrospective

เรืองดีๆ ทีนึกออกอยางแรกของปี 2016 คือปีนีอานหนังสือจบ 15 เลม ถึงจะเปนนิยายซะเกินครึง แตกเปนนิยายฮิวโก เนบิวลา หาดาว ทีคุมคาแกการอดหลับอดนอนทังนัน นอกจากนียังบรรลุความตังใจอีกขอ คือขยายขอบเขตการอานของตัวเอง โดยใช Goodreads แอบดูวาเพือนๆ... Continue →